จระเข้เป็นสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบกที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของร่างกาย มีตลาดรองรับเป็นอย่างดี ทั้งในและต่างประเทศ กรมประมงในฐานะหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบการส่งเสริมอาชีพเลี้ยงสัตว์น้ำ ได้เล็งเห็นความสำคัญของธุรกิจการเพาะเลี้ยง และการค้าจระเข้ โดยมุ่งหวังที่จะผลักดันให้การเพาะเลี้ยงจระเข้ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องตลอดสายการผลิตเติบโตและมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่กำลังจะเติบโตสูงขึ้นในอนาคต
โดย นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า เกษตรโฟกัส เมื่อครั้งที่นำสื่อมวลชนไปสำรวจเส้นทางอุตสาหกรรมจระเข้ไทย ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า จระเข้ เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากจระเข้เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของร่างกาย ไม่มีเศษสิ่งเหลือทิ้งที่ไปกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงมีตลาดรองรับเป้นอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ สามารถจำหน่ายได้ทั้งแบบมีชีวิตเพื่อนำไปเลี้ยงเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ หรือแบบชำแหละ โดยเนื้อใช้สำหรับการบริโภค เลือดใช้ทำยารักษาโรค เครื่องในสามารถนำกลับไปผสมเป็นอาหารสัตว์ ส่วนหนังสามารถสร้างมูลค่าโดยผลิตเป็นเครื่องหนังชนิดต่างๆ เช่น กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด เป็นต้น ตลาดที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน รัสเซีย ยุโรป และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ยกเว้น สหรัฐอเมริกา (เนื่องจากข้อห้ามของกฎหมายภายในของสหรัฐอเมริกา)
โดย นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า เกษตรโฟกัส เมื่อครั้งที่นำสื่อมวลชนไปสำรวจเส้นทางอุตสาหกรรมจระเข้ไทย ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า จระเข้ เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากจระเข้เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของร่างกาย ไม่มีเศษสิ่งเหลือทิ้งที่ไปกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงมีตลาดรองรับเป้นอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ สามารถจำหน่ายได้ทั้งแบบมีชีวิตเพื่อนำไปเลี้ยงเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ หรือแบบชำแหละ โดยเนื้อใช้สำหรับการบริโภค เลือดใช้ทำยารักษาโรค เครื่องในสามารถนำกลับไปผสมเป็นอาหารสัตว์ ส่วนหนังสามารถสร้างมูลค่าโดยผลิตเป็นเครื่องหนังชนิดต่างๆ เช่น กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด เป็นต้น ตลาดที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน รัสเซีย ยุโรป และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ยกเว้น สหรัฐอเมริกา (เนื่องจากข้อห้ามของกฎหมายภายในของสหรัฐอเมริกา)
สำหรับประเทศไทยเริ่มมีการทำฟาร์มเลี้ยงจระเข้ เมื่อปี พ.ศ. 2493 ด้วยเหตุจระเข้ในธรรมชาติมีจำนวนลดลง และตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ จึงเริ่มมีการเพาะขยายพันธุ์จระเข้ในฟาร์มเลี้ยง โดยช่วงแรกเพาะเลี้ยงเพื่อการค้า เฉพาะส่วนที่เป็นหนังเท่านั้น ต่อมาได้พัฒนาเป็นอุตสาหกรรมโดยมีฟาร์มเพื่อผลิตลูกจระเข้แล้วส่งให้ฟาร์มรายย่อยเลี้ยงเป็นจระเข้ขนาดใหญ่ และรับซื้อคืนหรือขายให้โรงงานชำแหละแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่ายและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต่อไป ซึ่งปัจจุบันการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์จระเข้เพื่อการค้า และการท่องเที่ยว ได้รับอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงและค้าขายได้ถูกต้องตามกฎหมายมาตรา 17 และมาตรา 18 ของพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 โดยกำหนดให้จระเข้น้ำจืด และน้ำเค็มพันธุ์ไทยเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่เพาะพันธุ์ได้สามารถทำการค้าได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ ยังถูกขึ้นบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการค่าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ด้วย สำหรับผู้ที่มีความประสงค์ที่จะครอบครองจระเข้ทั้งที่ได้จากการเพาะพันธุ์ รวมถึงการครอบครองซาก การนำเข้า – ส่งออก การเพาะพันธุ์ และเคลื่อนที่ จำเป็นจะต้องขออนุญาตจากกรมประมงซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบก่อน เมื่อได้รับอนุญาตเป็นหนังสือแล้ว จึงจะดำเนินการได้
“ปัจจุบันประเทศไทย มีฟาร์มจระเข้ 809 ฟาร์ม มีศักยภาพในการผลิตจระเข้น้ำจืดประมาณปีละ 200,000 ตัว มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 2,000 ล้านบาท มูลค่าการค้าโดยรวมประมาณ 3,500-4,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ มีฟาร์มที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักเลขาธิการ CITES เพื่อทำการค้าระหว่างประเทศแล้วจำนวน 23 ฟาร์ม ในอนาคตหากประเทศไทยสามารถเลื่อนบัญชีจระเข้น้ำจืดซึ่งเป็นสัตว์ในบัญชีที่ 1 ซึ่งเป็นสัตว์ในบัญชีที่ 2 ของอนุสัญญา CITES ได้ เชื่อว่าจะทำให้โอกาสทางการค้าขยายตัวได้อีกเป็นเท่าตัว ทั้งนี้ประเทศไทยจะต้องให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์จระเข้ธรรมชาติให้คงอยู่จนกระทั่ง สามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้เองในธรรมชาติ จนมีปริมาณพอสมควร และได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่สูญพันธุ์อีก โดยประเทศภาคี CITES ให้การยอมรับ 2 ใน 3 เสียง ประเทศไทยจึงสามารถทำการค้าได้ทั่วโลก” อธิบดีกรมประมง กล่าว
การลงพื้นที่ในครั้งนี้ อธิบดีกรมการประมงยังได้นำผู้สื่อข่าวเยี่ยมชมกิจการฟาร์มจระเข้ โรงเชือดชำแหละ และโรงงานแปรรูปหนังจระเข้ของบริษัทศรีอยุธยาเหรียญทอง จำกัด หรือที่รู้จักกันในชื่อฟาร์ม จระเข้ศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 126 หมู่ 8 ต.หนองขนาก อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยาภายใต้การบริหารของนายวิเชียร เรืองเนตร ที่คนในวงการจระเข้และเครื่องหนังรู้จักเป็นอย่างดี
นายวิเชียร เล่าถึงเส้นทางการเข้ามาในธุรกิจจระเข้ให้ฟัง ว่า ฟาร์มจระเข้ศรีอยุธยา ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2532 เลี้ยงครั้งแรกเพียง 5 ตัว เมื่อเห็นว่าเลี้ยงไม่ยาก และขายครั้งแรกและมีกำไรดี จึงขยายกิจการซื้อลูกจระเข้จากฟาร์มจระเข้วัดสิงห์ และฟาร์มจระเข้ศรีราชามาเลี้ยงประมาณ 200 ตัว เพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ส่วนหนึ่ง โดยเมื่อขุนจนได้ขนาดซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนก็ขายคืนให้กับฟาร์มที่ซื้อลูกจระเข้มา จนกระทั่ง พรบ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เริ่มมีผลบังคับใช้ให้ทุกฟาร์มต้องขึ้นทะเบียนจดแจ้งการครอบครองจระเข้ ทางฟาร์มก็ได้ขึ้นจดทะเบียนแจ้งตามระเบียบ จนประทั่งปี 2538-2539 ฟาร์มประสบปัญหาด้านการตลาดและมีจระเข้ตายเพราะไม่มีความรู้ด้านจัดการที่ดีพอ อีกทั้งลูกพันธุ์มีราคาสูง เกิดท้อแท้จนคิดที่จะเลิกเลี้ยง
แต่ในปี 2540 ได้ไปเยี่ยมชมกิจการของศรีราชาฟาร์มอีกครั้ง และได้รับหนังสือวิชาการเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงจระเข้ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงเริ่มศึกษาวิธีการจัดการบ่อ การใช้ยาปฏิชีวนะตามหลักวิชาการควบคู่กับการเลี้ยงจระเข้ตัว ตัวเองมานานหลายปีจึงค่อยๆ มีความชำนาญ และเริ่มพัฒนา และขยายฟาร์มตามลำดับ
จนกระทั่งในปี 2543 พบว่าจระเข้ที่เลี้ยงไว้เริ่มออกไข่ได้ในบ่อ แต่เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีความพร้อมทั้งเครื่องมือและความรู้ในการเพาะพันธุ์ จากจุดนั้นจึงเกิดประกายที่จะเรียนรู้เพาะพันธุ์จระเข้ จึงได้เตรียมการในเรื่องพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ สร้างบ่อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เพิ่ม ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาและศึกษาวิธีการที่จะบริหารจัดการฟาร์มจระเข้ในแบบธุรกิจแบบจริงจังอีกครั้ง เพื่อจะได้เพาะขยายพันธุ์จระเข้ให้มีคุณภาพหนังที่ดี โตเร็ว ให้ลูกดก โดยการคัดจระเข้จากฟาร์มต่างๆ มาเลี้ยงขุน สำหรับเป็นพ่อแม่พันธุ์
ในปี 2546 เริ่มดำเนินการเพาะพันธุ์และขยายตลาดไปยังประเทศจีน เพราะราคาในประเทศต่ำมาก ขนาดความยาวลำตัว 1.8-2เมตร ราคาเพียงเซนติเมตรละ 15 บาทเท่านั้น แต่ในประเทศจีนให้ราคาเซนติเมตรละ 30 บาท โดยขณะนั้นสามารถส่งจระเข้ไปจำหน่ายที่ประเทศจีนได้หลายหมื่นตัว และเพิ่มปริมาณมาเรื่อยๆ ตามลำดับ จึงพัฒนาฟาร์มให้สามารถจดทะเบียนกับ Cites ได้ในเวลาต่อมา แต่ในปี 2553 ราคาจระเข้มีปัญหา ถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางที่มักจะซื้อจระเข้แบบคัด ทำให้จระเข้ที่เหลือตาย จึงทำให้เกิดแนวคิดเก็บหนังไว้เอง เพื่อนำไปจ้างช่างตัดเย็บเป็นผลิตภัณฑ์โดยค่อยๆ ดำเนินการจนขยายกิจด้านเครื่องหนังจระเข้เป็นของฟาร์มเองในปัจจุบัน
นายวิเชียร บอกว่า ปัจจุบันในฟาร์มมีจระเข้อยู่ประมาณแสนกว่าตัว เป็นพ่อพันธุ์ประมาณ 300 ตัว แม่พันธุ์ 1,800 ตัว ลูกและจระเข้ขุนอีกประมาณ 95,000 ตัว ซึ่งมีทั้งที่ฟาร์มผลิตเองและส่วนหนึ่งต้องซื้อจากฟาร์มอื่นเข้ามาเลี้ยง เนื่องจากผลิตไม่พอต่อความต้องการใช้ในแต่ละเดือนประมาณ 3,000 ตัว (ใช้เองและจำหน่ายออกไปให้กับผู้ประกอบการรายอื่นด้วย) โดยทางฟาร์มจะมีโรงเชือดชำแหละเอง เนื้อของจระเข้จะอบแห้งและส่งจำหน่ายในประเทศ ส่วนหนังก็จะส่งเข้าโรงฟอกและโรงงานเย็บผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นของฟาร์มเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ในการเลี้ยงจระเข้ขุนโดยปกติ โดยปกติหากคิดต้นทุนกำไรเฉลี่ยดังนี้คือ กรณีที่ซื้อลูกจระเข้มาเลี้ยงขุนราคาลูกจระเข้ตัวละ 1,500 บาท ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 3-4 เดือน มีต้นทุนการเลี้ยงเฉลี่ยตัวละ 7,000 บาท จะมีกำไรตัวละ 3,000 กว่าบาท แต่ในกรณีของฟาร์ม เราทำทุกอย่างครบวงจร ขายเนื้อ หนัง กระดูก เลือด และผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง จึงมีมูลค่าต่อตัวไม่น้อยกว่าแสนบาท ในส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องหนังมีมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท/ปี ส่วนเนื้อจระเข้ ทั้งเนื้อแยกส่วนและเนื้ออบแห้ง มูลค่ากว่า 20 ล้านปาทต่อปี
“สถานการณ์ของอุตสาหกรรมจระเข้ โดยรวมถือว่าดี จะมีปัญหาอยู่บ้างช่วงปลายปี 2556 ที่ซบเซาเพราะเหตุการณ์บ้านเมือง แต่เมื่อการเมืองคลี่คลาย เศรษฐกิจดีขึ้น สถานการณ์ก็จะกลับมาดีเหมือนเดิม โดยเฉพาะเมื่อเปิด AEC ทำให้ตลาดจระเข้และเครื่องหนังเติบโตขึ้นแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงจระเข้ มีความแตกต่างจากการเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วไป ทั้งวิธีการเลี้ยงและการตลาด ผู้ที่สนใจจะเลี้ยงจะต้องหาข้อมูลให้ดี ขอคำแนะนำจากกรมประมงและหาตลาดล่วงหน้าไว้ก่อน เพราะฟาร์มที่ขายลูกจระเข้มา ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อจระเข้ขุนจากเราเสมอไป อีกทั้งการเลี้ยงโดยที่ต้องหาซื้ออาหารมาเลี้ยงทุกวันย่อมมีต้นทุนที่สูงจึงเหมาะสำหรับเกษตรกรที่มีผลพลอยได้จากสิ่งที่ทำอยู่มาเลี้ยงจระเข้ เช่น ฟาร์มสุกร ฟาร์มไก่ เป็นต้น” นายวิเชียร กล่าวทิ้งท้าย ที่มา เกษตรโฟกัส
“ปัจจุบันประเทศไทย มีฟาร์มจระเข้ 809 ฟาร์ม มีศักยภาพในการผลิตจระเข้น้ำจืดประมาณปีละ 200,000 ตัว มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 2,000 ล้านบาท มูลค่าการค้าโดยรวมประมาณ 3,500-4,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ มีฟาร์มที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักเลขาธิการ CITES เพื่อทำการค้าระหว่างประเทศแล้วจำนวน 23 ฟาร์ม ในอนาคตหากประเทศไทยสามารถเลื่อนบัญชีจระเข้น้ำจืดซึ่งเป็นสัตว์ในบัญชีที่ 1 ซึ่งเป็นสัตว์ในบัญชีที่ 2 ของอนุสัญญา CITES ได้ เชื่อว่าจะทำให้โอกาสทางการค้าขยายตัวได้อีกเป็นเท่าตัว ทั้งนี้ประเทศไทยจะต้องให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์จระเข้ธรรมชาติให้คงอยู่จนกระทั่ง สามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้เองในธรรมชาติ จนมีปริมาณพอสมควร และได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่สูญพันธุ์อีก โดยประเทศภาคี CITES ให้การยอมรับ 2 ใน 3 เสียง ประเทศไทยจึงสามารถทำการค้าได้ทั่วโลก” อธิบดีกรมประมง กล่าว
การลงพื้นที่ในครั้งนี้ อธิบดีกรมการประมงยังได้นำผู้สื่อข่าวเยี่ยมชมกิจการฟาร์มจระเข้ โรงเชือดชำแหละ และโรงงานแปรรูปหนังจระเข้ของบริษัทศรีอยุธยาเหรียญทอง จำกัด หรือที่รู้จักกันในชื่อฟาร์ม จระเข้ศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 126 หมู่ 8 ต.หนองขนาก อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยาภายใต้การบริหารของนายวิเชียร เรืองเนตร ที่คนในวงการจระเข้และเครื่องหนังรู้จักเป็นอย่างดี
นายวิเชียร เล่าถึงเส้นทางการเข้ามาในธุรกิจจระเข้ให้ฟัง ว่า ฟาร์มจระเข้ศรีอยุธยา ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2532 เลี้ยงครั้งแรกเพียง 5 ตัว เมื่อเห็นว่าเลี้ยงไม่ยาก และขายครั้งแรกและมีกำไรดี จึงขยายกิจการซื้อลูกจระเข้จากฟาร์มจระเข้วัดสิงห์ และฟาร์มจระเข้ศรีราชามาเลี้ยงประมาณ 200 ตัว เพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ส่วนหนึ่ง โดยเมื่อขุนจนได้ขนาดซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนก็ขายคืนให้กับฟาร์มที่ซื้อลูกจระเข้มา จนกระทั่ง พรบ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เริ่มมีผลบังคับใช้ให้ทุกฟาร์มต้องขึ้นทะเบียนจดแจ้งการครอบครองจระเข้ ทางฟาร์มก็ได้ขึ้นจดทะเบียนแจ้งตามระเบียบ จนประทั่งปี 2538-2539 ฟาร์มประสบปัญหาด้านการตลาดและมีจระเข้ตายเพราะไม่มีความรู้ด้านจัดการที่ดีพอ อีกทั้งลูกพันธุ์มีราคาสูง เกิดท้อแท้จนคิดที่จะเลิกเลี้ยง
แต่ในปี 2540 ได้ไปเยี่ยมชมกิจการของศรีราชาฟาร์มอีกครั้ง และได้รับหนังสือวิชาการเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงจระเข้ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงเริ่มศึกษาวิธีการจัดการบ่อ การใช้ยาปฏิชีวนะตามหลักวิชาการควบคู่กับการเลี้ยงจระเข้ตัว ตัวเองมานานหลายปีจึงค่อยๆ มีความชำนาญ และเริ่มพัฒนา และขยายฟาร์มตามลำดับ
จนกระทั่งในปี 2543 พบว่าจระเข้ที่เลี้ยงไว้เริ่มออกไข่ได้ในบ่อ แต่เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีความพร้อมทั้งเครื่องมือและความรู้ในการเพาะพันธุ์ จากจุดนั้นจึงเกิดประกายที่จะเรียนรู้เพาะพันธุ์จระเข้ จึงได้เตรียมการในเรื่องพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ สร้างบ่อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เพิ่ม ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาและศึกษาวิธีการที่จะบริหารจัดการฟาร์มจระเข้ในแบบธุรกิจแบบจริงจังอีกครั้ง เพื่อจะได้เพาะขยายพันธุ์จระเข้ให้มีคุณภาพหนังที่ดี โตเร็ว ให้ลูกดก โดยการคัดจระเข้จากฟาร์มต่างๆ มาเลี้ยงขุน สำหรับเป็นพ่อแม่พันธุ์
ในปี 2546 เริ่มดำเนินการเพาะพันธุ์และขยายตลาดไปยังประเทศจีน เพราะราคาในประเทศต่ำมาก ขนาดความยาวลำตัว 1.8-2เมตร ราคาเพียงเซนติเมตรละ 15 บาทเท่านั้น แต่ในประเทศจีนให้ราคาเซนติเมตรละ 30 บาท โดยขณะนั้นสามารถส่งจระเข้ไปจำหน่ายที่ประเทศจีนได้หลายหมื่นตัว และเพิ่มปริมาณมาเรื่อยๆ ตามลำดับ จึงพัฒนาฟาร์มให้สามารถจดทะเบียนกับ Cites ได้ในเวลาต่อมา แต่ในปี 2553 ราคาจระเข้มีปัญหา ถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางที่มักจะซื้อจระเข้แบบคัด ทำให้จระเข้ที่เหลือตาย จึงทำให้เกิดแนวคิดเก็บหนังไว้เอง เพื่อนำไปจ้างช่างตัดเย็บเป็นผลิตภัณฑ์โดยค่อยๆ ดำเนินการจนขยายกิจด้านเครื่องหนังจระเข้เป็นของฟาร์มเองในปัจจุบัน
นายวิเชียร บอกว่า ปัจจุบันในฟาร์มมีจระเข้อยู่ประมาณแสนกว่าตัว เป็นพ่อพันธุ์ประมาณ 300 ตัว แม่พันธุ์ 1,800 ตัว ลูกและจระเข้ขุนอีกประมาณ 95,000 ตัว ซึ่งมีทั้งที่ฟาร์มผลิตเองและส่วนหนึ่งต้องซื้อจากฟาร์มอื่นเข้ามาเลี้ยง เนื่องจากผลิตไม่พอต่อความต้องการใช้ในแต่ละเดือนประมาณ 3,000 ตัว (ใช้เองและจำหน่ายออกไปให้กับผู้ประกอบการรายอื่นด้วย) โดยทางฟาร์มจะมีโรงเชือดชำแหละเอง เนื้อของจระเข้จะอบแห้งและส่งจำหน่ายในประเทศ ส่วนหนังก็จะส่งเข้าโรงฟอกและโรงงานเย็บผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นของฟาร์มเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ในการเลี้ยงจระเข้ขุนโดยปกติ โดยปกติหากคิดต้นทุนกำไรเฉลี่ยดังนี้คือ กรณีที่ซื้อลูกจระเข้มาเลี้ยงขุนราคาลูกจระเข้ตัวละ 1,500 บาท ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 3-4 เดือน มีต้นทุนการเลี้ยงเฉลี่ยตัวละ 7,000 บาท จะมีกำไรตัวละ 3,000 กว่าบาท แต่ในกรณีของฟาร์ม เราทำทุกอย่างครบวงจร ขายเนื้อ หนัง กระดูก เลือด และผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง จึงมีมูลค่าต่อตัวไม่น้อยกว่าแสนบาท ในส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องหนังมีมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท/ปี ส่วนเนื้อจระเข้ ทั้งเนื้อแยกส่วนและเนื้ออบแห้ง มูลค่ากว่า 20 ล้านปาทต่อปี
“สถานการณ์ของอุตสาหกรรมจระเข้ โดยรวมถือว่าดี จะมีปัญหาอยู่บ้างช่วงปลายปี 2556 ที่ซบเซาเพราะเหตุการณ์บ้านเมือง แต่เมื่อการเมืองคลี่คลาย เศรษฐกิจดีขึ้น สถานการณ์ก็จะกลับมาดีเหมือนเดิม โดยเฉพาะเมื่อเปิด AEC ทำให้ตลาดจระเข้และเครื่องหนังเติบโตขึ้นแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงจระเข้ มีความแตกต่างจากการเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วไป ทั้งวิธีการเลี้ยงและการตลาด ผู้ที่สนใจจะเลี้ยงจะต้องหาข้อมูลให้ดี ขอคำแนะนำจากกรมประมงและหาตลาดล่วงหน้าไว้ก่อน เพราะฟาร์มที่ขายลูกจระเข้มา ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อจระเข้ขุนจากเราเสมอไป อีกทั้งการเลี้ยงโดยที่ต้องหาซื้ออาหารมาเลี้ยงทุกวันย่อมมีต้นทุนที่สูงจึงเหมาะสำหรับเกษตรกรที่มีผลพลอยได้จากสิ่งที่ทำอยู่มาเลี้ยงจระเข้ เช่น ฟาร์มสุกร ฟาร์มไก่ เป็นต้น” นายวิเชียร กล่าวทิ้งท้าย ที่มา เกษตรโฟกัส