หากเอ่ยถึงมะม่วงในบ้านเรา หลายท่านคงนึกไปถึงเขียวเสวย น้ำดอกไม้ เพราะเป็นพันธุ์ที่ในตลาดทั้งในประเทศและต่างชาติต้องการ หรือพันธุ์มหาชนก ที่กำลังมาแรงและเป็นที่นิยมบริโภค เพราะมะม่วงเหล่านี้ล้วนมีรสชาติหวานอร่อยโดยเฉพาะน้ำดอกไม้ ปัจจุบันตลาดญี่ปุ่นแบะท่าพร้อมนำเข้าไม่อั้น หากผลิตได้ตามมาตรฐานของเขา
แต่แท้ที่จริงแล้วมะม่วงสายพันธุ์ต่างๆ ของไทยยังมีอีกมากมาย กระจายออกไปแต่ละท้องถิ่น พร้อมกับชื่อที่ได้รับการรังสรรค์จากรุ่นปูย่า ตายาย จนกลายเป็นมรดกสืบต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ปัจจุบันคนรู้จักมะม่วงรวมถึงพืชประจำถิ่นน้อยลง เนื่องจากไม่ใช่พืชเศรษฐกิจที่จะทำกำไรให้ได้ครั้งละมากๆ นี่จึงเป็นเหตุผลให้พืชเหล่านี้มีแนวโน้มจะสูญหายไปตามกาลเวลา
หนึ่งในนั้นก็คือ “มะม่วงเขียวเสวยรจนา” มะม่วงประจำถิ่นของ จ.อ่างทอง แต่สำหรับเกษตรกรที่นี่ยังคงอนุรักษ์มะม่วงคู่บ้านคู่เมืองที่มีอายุยาวนานกว่าร้อยปีมาอย่างยาวนาน มีการรวมตัวกันผลิตและจำหน่ายกันออย่างเป็นร่ำเป็นสัน ถึงขนาดจะมีแผนจะเจาะตลาดใหญ่อย่างตลาดจีนและอินเดีย หลังจากนำไปโลดโชว์มาแล้ว ทั้งคนจีนและคนอินเดียล้วนประทับใจในรสชาติของมะม่วงพันธุ์นี้มาก
นวลฉวี สะอาดศรี ประชาชนกลุ่มพัฒนาอาชีพผลไม้ส่งออกปลอดสารพิษ อดีต อบต.สามโก้ 2 สมัย เล่าให้เกษตรโฟกัส ฟังว่า มะม่วงเขียวเสวยรจนาเป้นมะม่วงประจำถิ่นของ จ.อ่างทอง มีมานานกว่าร้อยปี มีลักษณะเด่น คือ หอม หวาน กรอบ เนื้อแน่น อกอูม ผลไม่ใหญ่มาก หากเป็นพันธุ์แท้จะมีหงอนคล้ายมะม่วงแรด ออกผลเป็นพวงพุ่มสวยงาม ปลูกง่ายกว่ามะม่วงเขียวเสวยทั่วไป ไม่สลัดช่อ ลูกดก เดิมมีปลูกแทบทุกพื้นที่ในจังหวัด โดยเฉพาะใน อ.สามโก้ แต่ด้วยความที่เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกมะม่วงเศรษฐกิจเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ และเขียวเสวยมากกว่า มะม่วงเขียวเสวยรจนาจึงถูกลดความสำคัญลงไปบ้าง
แต่ด้วยความคิดส่วนตัวที่ต้องการอนุรักษ์มะม่วงท้องถิ่น ให้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งเช่นในอดีต จึงมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มพัฒนาอาชีพผลไม้ส่งออกปลอดสารพิษ เมื่อราว 4-5 ปีที่ผ่านมา โดยมีสมาชิกรวม 25 คน มีพื้นที่รวมกว่า 1,000 ไร่ ปลูกมะม่วงเขียวเสวยรจนา สลับกับน้ำดอกไม้เบอร์ 4 โดยผลิตตามมาตรฐานเกษตรกรปลอดสารพิษ จนได้รับมาตรฐานสินค้าเกษตรภายใต้สัญลักษณ์ Q แล้ว 17 ราย จากนั้นได้ทดลองนำมะม่วงไปออกโลดโชว์ตามงาน OTOP ต่างๆ ทั่วประเทศ ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดีทุกครั้ง ต่อมาจึงเริ่มมีการทดลองไปเปิดตลาดต่างประเทศ โดยในปี 2553 ได้เดินทางไปโลดโชว์ที่เวียดนาม และในปี 2554 ได้ไปโลดโชว์ที่จีน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกัน
“เดิมเราปลูกเขียวเสวยรจนากันตามมีตามเกิด ถึงเวลาก็นำไปขาย แต่ด้วยอยากอนุรักษ์มะม่วงท้องถิ่น จึงรวมกลุ่มกันผลิต จากนั้นก็รวมตัวกันนำไปจำหน่าย โดยที่ผ่านมาก็มีการนำโลดโชว์ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดี เพราะฉะนั้น กลุ่มจึงเตรียมที่จะส่งออกมะม่วงเขียวเสวยรจนาไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการส่งออกมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 มาแล้ว ซึ่งเบื้องต้นได้มีการเจรจากับทางการจีนแล้ว หากสามารถทำได้ตามมาตรฐานที่จีนต้องการ เขารับซื้อไม่อั้น”
สำหรับการปลูกมะม่วงชนิดนี้ พี่นวลฉวี อธิบายว่า กลุ่มจะเน้นการทำเกษตรกรแบบเศรษฐกิจพอเพียง โดยจะปลูกมะม่วงทั้งน้ำดอกไม้และเขียวเสวยรจนาเป็นหลัก สลับไปกับปลูกพืชผักอื่นๆ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้ากาบขาว หรือมะลิอ่องซึ่งถือเป็นผลไม้ประจำถิ่นอีกชนิดของจังหวัดอ่างทอง นอกจากนั้น ยังเน้นการใช้ปุ๋ยชีวภาพที่ผลิตเอง เช่นพด.2 โดยจะไม่ใช้สารเคมีใดๆ
ส่วนเทคนิคการปลูกมะม่วง ของเกษตรที่นี่จะปลูกแบบยกร่อง ห่างกันต้นละ 2 เมตร ช่วงผลผลิตเก็บได้จะปล่อยน้ำแห้ง เพื่อป้องกันโรคแอนแทร็คโนส ไม่แนะนำให้ปลูกมะม่วงหลายสายพันธุ์ เพราะแต่ละสายพันธุ์ฤดูเก็บเกี่ยวจะแตกต่างกัน สำหรับต้นตอจะใช้มะม่วงแก้วป่าอายุ 3-4 ปี เนื่องจากหากิ่งเก่ง โตเร็ว
ขณะที่เทคนิคการแก้ปัญหากรณีมะม่วงไม่ติดลูกซึ่งเป็นปัญหาสำหรับเกษตรกรชาวสวนมะม่วงค่อนข้างมาก พี่นวลฉวี ก้แนะนำว่า ให้ตัดกิ่งกลาง แบะออกแบบฝาชีครอบ เพื่อให้ได้รับแสงได้อย่างเต็มที่จนถึงโคน ลูกก็จะออกปลายกิ่ง ขณะเดียวกันผลพลอยได้ก็คือ จะง่ายต่อการสวมถุงมือและเก็บเกี่ยว
“ที่นี่จะเน้นในเรื่องของอินทรีย์และธรรมชาติเป็นหลัก เรียกได้ว่าปราศจากสารเคมีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้แต่เมื่อทาบกิ่งกับต้นตอก็ยังไม่สาดสาร ขูดร่องแบบก้างปลา ปล่อยปลาและดึงน้ำธรรมชาติ เน้นในทฤษฎีที่ว่า”ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก” ปลูกไม้ใหญ่คลุมร่มเงาให้ไม้เล็ก เนื่องจากจะได้ร่มเงาแล้ว เมื่ออายุ 7-8 เดือน ยังจะได้ผลผลิตกล้วย ครบ 3 ปี ก็ตัดกล้วยทิ้ง ซึ่งกล้วยสามารถขายได้เกือบทุกส่วน ทั้งต้น ก้าน ใบ ขณะเดียวกันก็จะนำบางส่วนมาทำปุ๋ย”
สำหรับปัญหาที่พบของมะม่วงสายพันธุ์นี้คือเมื่อสุกแล้วเนื้อจะไม่เหลืองมากเท่ามะม่วงทั่วไป จึงมักไม่ถูกใจตลาดต่างประเทศที่ยังไม่ได้ชิม อีกปัญหาก็คือ เรื่องของแมลงวันทองเช่นเดียวกับมะม่วงทั่วไป เพราะฉะนั้น ขณะนี้ทางกลุ่มจึงเตรียมใช้ถุงห่อลูก เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
“ปัญหาเรื่องแมลงวันทองถือเป็นปัญหาใหญ่เพราะต่างชาติเน้นในเรื่องนี้มาก ซึ่งทางกลุ่มเราก็ไม่ได้มีเงินมีทองมากที่จะสามารถห่อมะม่วงได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมถึงขั้นตอนของการส่งออก เพื่อให้กลุ่มเกิดการพัฒนาอย่างเต็มที่เพื่อรับมือประชาคมอาเซียน หลังจากสมาชิกส่วนใหญ่ผ่านการรับรองมาตรฐานตัว Q แล้ว”
สนใจเยี่ยมชมหรือขอคำปรึกษา ในเรื่องของการปลูกมะม่วง หรือเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อได้ที่พี่นวลฉวี โทร. 08-1365-6755
แต่แท้ที่จริงแล้วมะม่วงสายพันธุ์ต่างๆ ของไทยยังมีอีกมากมาย กระจายออกไปแต่ละท้องถิ่น พร้อมกับชื่อที่ได้รับการรังสรรค์จากรุ่นปูย่า ตายาย จนกลายเป็นมรดกสืบต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ปัจจุบันคนรู้จักมะม่วงรวมถึงพืชประจำถิ่นน้อยลง เนื่องจากไม่ใช่พืชเศรษฐกิจที่จะทำกำไรให้ได้ครั้งละมากๆ นี่จึงเป็นเหตุผลให้พืชเหล่านี้มีแนวโน้มจะสูญหายไปตามกาลเวลา
หนึ่งในนั้นก็คือ “มะม่วงเขียวเสวยรจนา” มะม่วงประจำถิ่นของ จ.อ่างทอง แต่สำหรับเกษตรกรที่นี่ยังคงอนุรักษ์มะม่วงคู่บ้านคู่เมืองที่มีอายุยาวนานกว่าร้อยปีมาอย่างยาวนาน มีการรวมตัวกันผลิตและจำหน่ายกันออย่างเป็นร่ำเป็นสัน ถึงขนาดจะมีแผนจะเจาะตลาดใหญ่อย่างตลาดจีนและอินเดีย หลังจากนำไปโลดโชว์มาแล้ว ทั้งคนจีนและคนอินเดียล้วนประทับใจในรสชาติของมะม่วงพันธุ์นี้มาก
นวลฉวี สะอาดศรี ประชาชนกลุ่มพัฒนาอาชีพผลไม้ส่งออกปลอดสารพิษ อดีต อบต.สามโก้ 2 สมัย เล่าให้เกษตรโฟกัส ฟังว่า มะม่วงเขียวเสวยรจนาเป้นมะม่วงประจำถิ่นของ จ.อ่างทอง มีมานานกว่าร้อยปี มีลักษณะเด่น คือ หอม หวาน กรอบ เนื้อแน่น อกอูม ผลไม่ใหญ่มาก หากเป็นพันธุ์แท้จะมีหงอนคล้ายมะม่วงแรด ออกผลเป็นพวงพุ่มสวยงาม ปลูกง่ายกว่ามะม่วงเขียวเสวยทั่วไป ไม่สลัดช่อ ลูกดก เดิมมีปลูกแทบทุกพื้นที่ในจังหวัด โดยเฉพาะใน อ.สามโก้ แต่ด้วยความที่เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกมะม่วงเศรษฐกิจเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ และเขียวเสวยมากกว่า มะม่วงเขียวเสวยรจนาจึงถูกลดความสำคัญลงไปบ้าง
แต่ด้วยความคิดส่วนตัวที่ต้องการอนุรักษ์มะม่วงท้องถิ่น ให้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งเช่นในอดีต จึงมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มพัฒนาอาชีพผลไม้ส่งออกปลอดสารพิษ เมื่อราว 4-5 ปีที่ผ่านมา โดยมีสมาชิกรวม 25 คน มีพื้นที่รวมกว่า 1,000 ไร่ ปลูกมะม่วงเขียวเสวยรจนา สลับกับน้ำดอกไม้เบอร์ 4 โดยผลิตตามมาตรฐานเกษตรกรปลอดสารพิษ จนได้รับมาตรฐานสินค้าเกษตรภายใต้สัญลักษณ์ Q แล้ว 17 ราย จากนั้นได้ทดลองนำมะม่วงไปออกโลดโชว์ตามงาน OTOP ต่างๆ ทั่วประเทศ ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดีทุกครั้ง ต่อมาจึงเริ่มมีการทดลองไปเปิดตลาดต่างประเทศ โดยในปี 2553 ได้เดินทางไปโลดโชว์ที่เวียดนาม และในปี 2554 ได้ไปโลดโชว์ที่จีน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกัน
“เดิมเราปลูกเขียวเสวยรจนากันตามมีตามเกิด ถึงเวลาก็นำไปขาย แต่ด้วยอยากอนุรักษ์มะม่วงท้องถิ่น จึงรวมกลุ่มกันผลิต จากนั้นก็รวมตัวกันนำไปจำหน่าย โดยที่ผ่านมาก็มีการนำโลดโชว์ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดี เพราะฉะนั้น กลุ่มจึงเตรียมที่จะส่งออกมะม่วงเขียวเสวยรจนาไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการส่งออกมะม่วงน้ำดอกไม้เบอร์ 4 มาแล้ว ซึ่งเบื้องต้นได้มีการเจรจากับทางการจีนแล้ว หากสามารถทำได้ตามมาตรฐานที่จีนต้องการ เขารับซื้อไม่อั้น”
สำหรับการปลูกมะม่วงชนิดนี้ พี่นวลฉวี อธิบายว่า กลุ่มจะเน้นการทำเกษตรกรแบบเศรษฐกิจพอเพียง โดยจะปลูกมะม่วงทั้งน้ำดอกไม้และเขียวเสวยรจนาเป็นหลัก สลับไปกับปลูกพืชผักอื่นๆ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้ากาบขาว หรือมะลิอ่องซึ่งถือเป็นผลไม้ประจำถิ่นอีกชนิดของจังหวัดอ่างทอง นอกจากนั้น ยังเน้นการใช้ปุ๋ยชีวภาพที่ผลิตเอง เช่นพด.2 โดยจะไม่ใช้สารเคมีใดๆ
ส่วนเทคนิคการปลูกมะม่วง ของเกษตรที่นี่จะปลูกแบบยกร่อง ห่างกันต้นละ 2 เมตร ช่วงผลผลิตเก็บได้จะปล่อยน้ำแห้ง เพื่อป้องกันโรคแอนแทร็คโนส ไม่แนะนำให้ปลูกมะม่วงหลายสายพันธุ์ เพราะแต่ละสายพันธุ์ฤดูเก็บเกี่ยวจะแตกต่างกัน สำหรับต้นตอจะใช้มะม่วงแก้วป่าอายุ 3-4 ปี เนื่องจากหากิ่งเก่ง โตเร็ว
ขณะที่เทคนิคการแก้ปัญหากรณีมะม่วงไม่ติดลูกซึ่งเป็นปัญหาสำหรับเกษตรกรชาวสวนมะม่วงค่อนข้างมาก พี่นวลฉวี ก้แนะนำว่า ให้ตัดกิ่งกลาง แบะออกแบบฝาชีครอบ เพื่อให้ได้รับแสงได้อย่างเต็มที่จนถึงโคน ลูกก็จะออกปลายกิ่ง ขณะเดียวกันผลพลอยได้ก็คือ จะง่ายต่อการสวมถุงมือและเก็บเกี่ยว
“ที่นี่จะเน้นในเรื่องของอินทรีย์และธรรมชาติเป็นหลัก เรียกได้ว่าปราศจากสารเคมีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้แต่เมื่อทาบกิ่งกับต้นตอก็ยังไม่สาดสาร ขูดร่องแบบก้างปลา ปล่อยปลาและดึงน้ำธรรมชาติ เน้นในทฤษฎีที่ว่า”ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก” ปลูกไม้ใหญ่คลุมร่มเงาให้ไม้เล็ก เนื่องจากจะได้ร่มเงาแล้ว เมื่ออายุ 7-8 เดือน ยังจะได้ผลผลิตกล้วย ครบ 3 ปี ก็ตัดกล้วยทิ้ง ซึ่งกล้วยสามารถขายได้เกือบทุกส่วน ทั้งต้น ก้าน ใบ ขณะเดียวกันก็จะนำบางส่วนมาทำปุ๋ย”
สำหรับปัญหาที่พบของมะม่วงสายพันธุ์นี้คือเมื่อสุกแล้วเนื้อจะไม่เหลืองมากเท่ามะม่วงทั่วไป จึงมักไม่ถูกใจตลาดต่างประเทศที่ยังไม่ได้ชิม อีกปัญหาก็คือ เรื่องของแมลงวันทองเช่นเดียวกับมะม่วงทั่วไป เพราะฉะนั้น ขณะนี้ทางกลุ่มจึงเตรียมใช้ถุงห่อลูก เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
“ปัญหาเรื่องแมลงวันทองถือเป็นปัญหาใหญ่เพราะต่างชาติเน้นในเรื่องนี้มาก ซึ่งทางกลุ่มเราก็ไม่ได้มีเงินมีทองมากที่จะสามารถห่อมะม่วงได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมถึงขั้นตอนของการส่งออก เพื่อให้กลุ่มเกิดการพัฒนาอย่างเต็มที่เพื่อรับมือประชาคมอาเซียน หลังจากสมาชิกส่วนใหญ่ผ่านการรับรองมาตรฐานตัว Q แล้ว”
สนใจเยี่ยมชมหรือขอคำปรึกษา ในเรื่องของการปลูกมะม่วง หรือเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อได้ที่พี่นวลฉวี โทร. 08-1365-6755